3.3ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
3.3 ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
นักเรียนได้ทราบมาแล้วว่าโมเลกุลของน้ำเกิดจากอะตอมของธาตุออกซิเจนใช้อิเล็กตรอนรวมกับอะตอมของธาตุไฮโดรเจนทำให้เกิดแรงดึงดูดซึ้งกันและกัน แรงดึงดูดนี้เป็นพันธะโคเวเลนท์ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนักเรียนได้ทดลองแยกน้ำโดยใช้พลังงานไฟฟ้า โมเลกุลของน้ำที่ถูกแยกจะให้โมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนและแกแก๊สออกซิเจน ดังสมการเคมีต่อไปนี้
นักเรียนได้ทราบมาแล้วว่าโมเลกุลของน้ำเกิดจากอะตอมของธาตุออกซิเจนใช้อิเล็กตรอนรวมกับอะตอมของธาตุไฮโดรเจนทำให้เกิดแรงดึงดูดซึ้งกันและกัน แรงดึงดูดนี้เป็นพันธะโคเวเลนท์ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนักเรียนได้ทดลองแยกน้ำโดยใช้พลังงานไฟฟ้า โมเลกุลของน้ำที่ถูกแยกจะให้โมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนและแกแก๊สออกซิเจน ดังสมการเคมีต่อไปนี้
เมื่อจุดไฮโดรเจนในบรรยากาศที่มีออกซิเจนจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เนื่องจากออกซิเจนที่อยู่ในบรรยากาศจะรวมตัวทางเคมีกับไฮโดรเจนอย่างรวดเร็ว และคายพลังงานออกมา ดังสมการต่อไปนี้
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ปฏิกิริยาแยกน้ำจะรับพลังงานไฟฟ้าเข้าไป ส่วนปฏิกิริยาการรวมอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนเกิดเป็นโมเลกุลของน้ำจะให้พลังงานออกมา สิ่งที่น่าสงสัยคือ เหตุไดปฏิกิริยาแยกโมเลกุลของน้ำจะเกิดขึ้นเองได้ต้องใช้พลังงานและการรวมตัวของอะตอม ไฮโดรเจนและออกซิเจนเป็นโมเลกุลของน้ำจึงได้พลังงานออกมา
อะตอมของธาตุ หรือสารประกอบรวมตัวอยู่ได้ด้วยพันธะเคมีซึ่งมีพลังงานสะสมอยู่ ถ้าพันธะเคมีได้รับพลังงานที่มีปริมาณมากพอก็จะทำให้พันธะเคมีสลายตัว และสร้างพันธะเคมีใหม่ ถ้าหากพันธะเคมีใหม่มีพลังงานสะสมน้อยกว่าพันธะเคมีเดิม อะตอมที่มารวมตัวกันจะปล่อยพลังงานออกมา
ดังนั้นพันธะเคมีจึงเป็นแหล่งสะสมพลังงาน และคายพลังงานออกมา โมเลกุลของสารทุกชนิดมีพลังงานสะสมอยู่ในรูปของพลังงานพันธะ ( bond energy ) จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในระหว่างที่เกิดปฏิกิริยาเคมีพบว่า พลังงานพันธะของสารตั้งต้นเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยา และพลังงานพันธะของผลิตภัณฑ์ เป็นจุดสิ้นสุด ถ้าหากพลังงานพันธะของสารตั้งต้นสูงกว่าพลังงานพันธะของสารผลิตภัณฑ์ เราเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่า ปฏิกิริยาคลายพลังงาน ( exergonic reaction )
อะตอมของธาตุ หรือสารประกอบรวมตัวอยู่ได้ด้วยพันธะเคมีซึ่งมีพลังงานสะสมอยู่ ถ้าพันธะเคมีได้รับพลังงานที่มีปริมาณมากพอก็จะทำให้พันธะเคมีสลายตัว และสร้างพันธะเคมีใหม่ ถ้าหากพันธะเคมีใหม่มีพลังงานสะสมน้อยกว่าพันธะเคมีเดิม อะตอมที่มารวมตัวกันจะปล่อยพลังงานออกมา
ดังนั้นพันธะเคมีจึงเป็นแหล่งสะสมพลังงาน และคายพลังงานออกมา โมเลกุลของสารทุกชนิดมีพลังงานสะสมอยู่ในรูปของพลังงานพันธะ ( bond energy ) จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในระหว่างที่เกิดปฏิกิริยาเคมีพบว่า พลังงานพันธะของสารตั้งต้นเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยา และพลังงานพันธะของผลิตภัณฑ์ เป็นจุดสิ้นสุด ถ้าหากพลังงานพันธะของสารตั้งต้นสูงกว่าพลังงานพันธะของสารผลิตภัณฑ์ เราเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่า ปฏิกิริยาคลายพลังงาน ( exergonic reaction )
การจุดไฮโดเจนในบรรยากาศที่กล่าวมาแล้วจะเห็นว่าการรวมตัวกันระหว่างโมเลกุลของไฮโดรเจนและออกซิเจนจะต้องมีการนำเอาพลังงานจากจุดไปกระตุ้นเพื่อสลายพันธะเคมีระหว่างอะตอมของไฮโดรเจนและระหว่างอะตอมของออกซิเจนแล้วจึงมีการสร้างพันธะเคมีขึ้นมาใหม่ ระหว่างอะตอมของไฮโดรเจนกับอะตอมของออกซิเจนกลายเป็นน้ำ ในการนี้พลังงานจำนวนหนึ่งจะถูกคลายออกมา ซึ่งจะทำให้โมเลกุลของน้ำมีพลังงานลดลง โมเลกุลของน้ำจึงเสถียรสูงกว่าโมเลกุลไฮโดรเจนและออกซิเจน จากปฏิกิริยานี้พลังงานที่ปล่อยออกมาจะมีค่ากว่าพลังงานกระตุ้นจึงเรียกปฏิกิริยานี้ว่า ปฏิกิริยาคลายพลังงาน
ในปฏิกิริยาเคมีใด หากพลังงานพันธะของสารตั้งต้นต่ำกว่าพลังงานพันธะของสารผลิตภัณฑ์ นั่นคือ พลังงานกระตุ้นที่ใช้ในปฏิกิริยามากกว่าพลังงานที่ปล่อยออก เราเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่าปฏิกิริยาดูดพลังงาน (endergonic reaction )
ในปฏิกิริยาเคมีใด หากพลังงานพันธะของสารตั้งต้นต่ำกว่าพลังงานพันธะของสารผลิตภัณฑ์ นั่นคือ พลังงานกระตุ้นที่ใช้ในปฏิกิริยามากกว่าพลังงานที่ปล่อยออก เราเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่าปฏิกิริยาดูดพลังงาน (endergonic reaction )
จากแยกน้ำโดยใช้ไฟฟ้า มีการใช้พลังงานไปสลายพันธะเคมีระหว่างอะตอมของไฮโดรเจนกับออกซิเจนในโมเลกุลของน้ำ พลังงานบางส่วนจะนำไปสร้างพันธะเคมีใหม่ ระหว่างอะตอมของไฮโดรเจนกับอะตอมของไฮโดรเจน เกิดเป็นโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนระหว่างอะตอมของออกซิเจนกับออกซิเจนเกิดเป็นโมเลกุลของแก๊สออกซิเจน จึงเป็นปฏิกิริยาดูดพลัง
เมื่อสิ่งมีชีวิตกินอาหารเข้าไป สารอาหารจะถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายในรูปของกรดอะมิโน เพปไทด์สายสั้นๆ กรดไขมัน กลีซอลรอล มอโนแซ็กคาไรด์ วิตตามินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย สารเคมีเหล่านี้หลังจากถูกลำเลียง เข้าสู่เซลล์ก็จะถูกนำไปใช้สร้างสารโมเลกุลใหญ่ที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต หรือสร้างพลังงานที่เซลล์ต้องการโดยผ่านปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน ปฏิกิริยาในสิ่งมีชีวิตก็จะมีลักษณะทำนองเดียวกับปฏิกิริยาเคมีที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโมเลกุลของสารตั้งต้นชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดระหว่างเกิดปฏิกิริยาจะมีการสลายพันธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลและสร้างพันธะใหม่ขึ้น ทำให้มีการจัดเรียงตัวกันใหม่ของอะตอมได้เป็นสารผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสารใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างไปจากสารข้างต้น การสลายและการสร้างพันธะระหว่างที่เกิดปฏิกิรกยาเคมีนี้บางปฏิกิริยาดูดพลังงานและบางปฏิกิริยาจะคายพลังงาน
เมื่อสิ่งมีชีวิตกินอาหารเข้าไป สารอาหารจะถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายในรูปของกรดอะมิโน เพปไทด์สายสั้นๆ กรดไขมัน กลีซอลรอล มอโนแซ็กคาไรด์ วิตตามินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย สารเคมีเหล่านี้หลังจากถูกลำเลียง เข้าสู่เซลล์ก็จะถูกนำไปใช้สร้างสารโมเลกุลใหญ่ที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต หรือสร้างพลังงานที่เซลล์ต้องการโดยผ่านปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน ปฏิกิริยาในสิ่งมีชีวิตก็จะมีลักษณะทำนองเดียวกับปฏิกิริยาเคมีที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโมเลกุลของสารตั้งต้นชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดระหว่างเกิดปฏิกิริยาจะมีการสลายพันธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลและสร้างพันธะใหม่ขึ้น ทำให้มีการจัดเรียงตัวกันใหม่ของอะตอมได้เป็นสารผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสารใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างไปจากสารข้างต้น การสลายและการสร้างพันธะระหว่างที่เกิดปฏิกิรกยาเคมีนี้บางปฏิกิริยาดูดพลังงานและบางปฏิกิริยาจะคายพลังงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น